วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565

กิจกรรมที่ 6

ขนมไทย



ประวัติความเป็นมาของขนมไทย

ขนมไทย เป็นของหวานที่ทำและรับประทานกันในอาณาจักรไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ 


สำหรับ "เข้าหนม" นั้น พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจรัสพรปฏิญาณได้ทรงตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า "หนม" เพี้ยนมาจาก "ข้าวหนม" เนื่องจาก "หนม" นั้นแปลว่าหวาน แต่กลับไม่ปรากฏความหมายของ"ขนม" ในพจนานุกรมไทย มีเพียงบอกไว้ว่าทางเหนือเรียกขนมว่า "เข้าหนม" แต่ถึงอย่างไรก็ไม่พบความหมายของคำว่า "หนม" ในฐานะคำท้องถิ่นภาคเหนือเมื่ออยู่โดด ๆ ในพจนานุกรมเช่นกัน

 เข้าหนม ก็แปลว่า ข้าวหวาน เรียกสั้นๆ เร็วๆ ก็กลายเป็น ขนม ไป (คำว่า เข้าเขียนตามแบบโบราณ ในปัจจุบันเขียนว่า  ข้าว)

อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย คำว่า "ขนม" อาจมาจากคำในภาษาเขมรว่า "หนม" ที่หมายถึงอาหารที่ทำมาจากแป้ง เมื่อลองพิจารณาดูแล้วพบว่าขนมส่วนใหญ่ล้วนทำมาจากแป้งทั้งนั้น โดยมีน้ำตาลและกะทิเป็นส่วนผสม ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า "ขนม" เพี้ยนมาจาก "ขนม" ในภาษาเขมรก็เป็นได้

ไม่ว่าขนมจะมีรากศัพท์มาจากคำใดหรือภาษาใด ขนมก็ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในสังคมไทยด้วยฐานะของขนมไทยอย่างเต็มภาคภูมิ และคนไทยเองก็ได้ชื่อว่าเป็นชนชาติหนึ่งที่ชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ

หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างขนมไทยกับคนไทยก็คือวรรณคดีมรดกสุโขทัยเรื่องไตรภูมิพระร่วง ซึ่งกล่าวถึงขนมต้มที่เป็นขนมไทยชนิดหนึ่งไว้

คำว่า ขนม มีใช้มาหลายร้อยปียากจะสันนิฐานแน่นอนได้ เช่นเดียวกับไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่า "ขนมไทย" เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดเป็นครั้งแรก แต่ตามประวัติศาสตร์ไทยมีหลักฐานตอนหนึ่งว่า มีการจารึกชื่อขนมในแท่งศิลาจารึก เป็นการจารึกแบบลายแทงสมัยโบราณ ขนมที่ปรากฏคือ "ไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตื้อ" ถามผู้ใหญ่ดูถึงได้รู้ว่า ไข่กบ หมายถึง เม็ดแมงลัก นกปล่อย หมายถึง ลอดช่อง บัวลอย หมายถึง ข้าวตอก อ้ายตื้อ หมายถึง ข้าวเหนียว ขนมทั้งสี่ใช้น้ำกระสายอย่างเดียวกันคือ "น้ำกะทิ" โดยใช้ถ้วยใส่ขนม ซึ่งเราเรียกการเลี้ยงขนม 4 อย่างนี้ว่า "ประเพณี 4 ถ้วย" 


ขนมไทยเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในสมัยอยุธยา ดังปรากฏข้อความในจดหมายเหตุหลายฉบับ บางฉบับกล่าวถึง "ย่านป่าขนม" หรือตลาดขนม บางฉบับกล่าวถึง "บ้านหม้อ" ที่มีการปั้นหม้อ และรวมไปถึงกระทะ ขนมเบื้อง เตาและรังขนมครก แสดงให้เห็นว่าขนมครกและขนมเบื้องนั้น คงจะแพร่หลายมากจนถึงขนาดมีการปั้นเตาและกระทะขาย บางฉบับกล่าวถึงขนมชะมด ขนมกงเกวียนหรือขนมกง ขนมครก ขนมเบื้อง ขนมลอดช่อง 

สมัยอยุธยา

         เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ 

     แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" "ท้าวทองกีบม้า" หรือ "มารี กีมาร์" เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนัก ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ 
   
          ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทยขนมที่ท่านท้าวทองกีบม้าทำขึ้นและยังเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันก็ได้แก่ ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง และรวมไปถึง ขนมทองโปร่ง ขนมทองพลุ ขนมสำปันนี ขนมไข่เต่า ฯลฯ

    แต่เดิมขนมเหล่านี้ เป็นของชาติโปรตุเกตุ เมื่อผ่านกาลเวลาผสมผสานกับความคิด ช่างประดิดประดอยของหญิงไทย ก็ทำให้ขนมเหล่านี้ ปรับเปลี่ยนเป็นขนมไทย ๆ ในเวลาต่อมา


ล่วงจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ผู้ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ ๒,๐๐๐ รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล

ในกาพย์ห่อโคลงเห่เรือชมเครื่องคาวหวาน บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้กล่าวชมเครื่องหวานหรือขนมไทยหลายชนิดด้วยกัน อาทิ ข้าวเหนียวสังขยา ขนมลำเจียก ขนมทองหยิบ ขนมทองหยอด ขนมผิง ขนมรังไร ขนมช่อม่วง ขนมบัวลอย ฯลฯ

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ การทำขนมไทยก็เป็นหนึ่งในตำราอาหารไทยนั้น จึงนับได้ว่าการทำขนมไทยและวัฒนธรรมขนมไทย เริ่มมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างมีระบบระเบียบในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง แม่ครัวหัวป่าก์เป็นตำราอาหารไทยเล่มแรก ประพันธ์โดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในตำราอาหารไทยเล่มนี้ปรากฏรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระอันประกอบด้วย ขนมทองหยิบ ขนมฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ข้าวเหนียวแก้ว ขนมลืมกลืน วุ้นผลมะปราง ฯลฯ แสดงให้เห็นว่าคนไทยนิยมทำขนมใช้ในงานบุญ ซึ่งก็เป็นแบบแผนต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา 

ขนมไทยในวิถีไทย 

ขนมไทย หัตถกรรมความอร่อยที่แสดงออกถึงความอ่อนช้อยของความเป็นไทย ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลที่ก่อกำเนิดภูมิปัญญาไทยหลากหลายอย่างให้สืบสานต่อทั้งวิถีชีวิตประเพณี วัฒนธรรม ที่สามารถนำวัสดุมีอยู่ในท้องถิ่นมาปรุงแต่งเป็นของหวานได้มากหลายรูปแบบ จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนไทยมีลักษณะนิสัยอย่างไร เพราะขนมแต่ละชนิดล้วน มีเสน่ห์ แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อน ประณีต วิจิตรบรรจงในรูปลักษณ์ ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ วิธีการทำที่กลมกลืน ความพิถีพิถัน สีที่ให้ความสวยงาม มีกลิ่นหอม รสชาติของขนมที่ละเมียดละไมชวนให้รับประทาน แสดงให้เห็นว่าคนไทยเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ 

         วิถีชีวิตของคนไทยนั้นเป็นสังคมเกษตรที่มีผลิตผลทางธรรมชาติอยู่มากมาย เช่น กล้วย อ้อย มะม่วง รวมไปถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ฯลฯ ที่สามารถปรุงเป็น ขนม ได้มากมายหลายชนิด เช่น อยากได้ กะทิ ก็เก็บมะพร้าวมาขูดคั้นน้ำกะทิ อยากได้ แป้งก็นำข้าวมาโม่เป็นแป้งทำขนมอร่อยๆ เช่น บัวลอย กินกันเองในครอบครัว 


ประเภทของขนมไทย

ขนมประเภทไข่ 



น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีกับขนมไทยประเภทไข่ คือขนมไทยที่มีส่วนประกอบสำคัญคือไข่เป็นขนมที่ได้รับความนิยมกันมากเพราะขนมมีรูปลักษณ์สวยงาม ใช้ฝีมือและความประณีตในการทำเป็นขนมที่ขาดไม่ได้สำหรับงานมงคลต่างๆ เทคนิคที่สำคัญคือการเลือกไข่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการทำควรเลือกไข่ที่ใหม่เพราะขนมประเภทนี้ใช้ความข้นของไข่ในการคงรูปของขนม และยังคงความอ่อนนุ่ม เช่น ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด สังขยา ฯลฯ

ขนมประเภทต้ม


เป็นขนมที่ทำให้สุกด้วยการนำไปต้ม โดยตั้งหม้อให้น้ำเดือดแล้วใส่ขนมลงไปจนสุกแล้วตักขึ้นมาคลุกกับวัตถุดิบอื่นๆ เช่นมะพร้าว น้ำตาล เช่น ขนมเหนียว รวมไปถึงขนมประเภทน้ำ ที่นิยมนำมาต้มกับกะทิ หรือใส่แป้งผสมเป็นขนมเปียก และขนมที่กินกับน้ำเชื่อมและน้ำกะทิ เช่น กล้วยบวชชี มันแกงบวด สาคูเปียก ลอดช่อง เป็นต้น

ขนมประเภทนึ่ง

การนึ่งเป็นกระบวนการที่ผ่านความร้อนจากไอน้ำโดยตรง ที่ได้จากการระเหยของการต้มน้ำให้เดือดอย่างต่อเนื่อง โดยที่วัตถุดิบที่ใช้ในการนึ่งจะถูกวางไว้ในอุปกรณ์ทีมี ฝาปิดมิดชิด เช่น ซึง หรือ หวด(สำหรับการนึ่งข้าวเหนียว) ที่ใช้เพื่อแยกจากการสัมผัสกับน้ำโดยตรง เช่น ขนมชั้น ขนมสาลี่ ขนมน้ำดอกไม้ ขนมทราย ฯลฯ

ขนมประเภทกวน

การกวนคือการที่ทำให้ขนมอย่างใดอย่างหนึ่งโดยมากของเหลวผสม หรือ รวมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกันจนข้นและเหนียวโดยใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งคนไปจนทั่วโดยแรงและเร็ว เช่น ขนมเปียกปูน ซ่าหริ่ม ขนมตะโก้ ฯลฯ

ขนมประเภทเชื่อม

เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดจนสุก เช่น กล้วยเชื่อม จาวตาลเชื่อม  โดยการเชื่อมส่วนใหญ่จะทำกับผลไม้ โดยการนำผลไม้ต้มในน้ำเชื่อม จนกระทั่งผลไม้มีลักษณะนุ่มและขึ้นเงาโดยระหว่างเชื่อมช่วงแรก น้ำเชื่อมจะใสแล้วจึงต้มต่อไปจน น้ำเชื่อมข้นแต่ต้องไม่เชื่อมให้น้ำเชื่อมข้นเกินไป เช่น กล้วยเชื่อม สาเกเชื่อม ฯลฯ

ขนมประเภททอด

เป็นการทำขนมให้สุก ด้วยการนำขนมที่ต้องการจะทอด ใส่ลงในกระทะที่มีน้ำมัน ตั้งไฟร้อน แล้วทอดจนขนมสุกเหลืองตามต้องการ  เช่น ขนมกง ขนมสามเกลอ ข้าวแตน เป็นต้น

ขนมประเภทอบและผิง

ขนมที่ใช้ผิงมีหลายชนิด จะใช้ผิงด้วยไฟบน และไฟล่าง ไฟจะต้องมีลักษณะอ่อนเสมอกันปัจจุบันใช้เตาอบแทนการผิง เช่น ขนมหม้อแกง ขนมสาลี่กรอบ ขนมผิง ฯลฯ



คลิปวีดีโอรู้จักขนมไทย






ภาพลักษณ์ขนมไทยในสายตาเยาวชนไทย


https://www.culturalapproach.siam.edu/images/magazine/w15ch27/k5.pdf

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2565

กิจกรรมที่ 4 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2/ 2560)






พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คืออะไร? 

  คือพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ก็เป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค สมาร์ตโฟน รวมถึงระบบต่างๆ ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งเป็นพ.ร.บ.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกัน ควบคุมการกระทำผิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ หากใครกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ ก็จะต้องได้รับการลงโทษตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้


 8 เรื่องที่ห้ามทำ ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 

 เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ (มาตรา 5-8)  หากเข้าไปเจาะข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของคนอื่น โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้อนุญาต (ละเมิด Privacy) หรือในเคสที่เรารู้จักกันดีก็คือ การปล่อยไวรัส มัลแวร์เข้าคอมพิวเตอร์คนอื่น เพื่อเจาะข้อมูลบางอย่าง หรือพวกแฮคเกอร์ ที่เข้าไปขโมยข้อมูลของคนอื่นก็มีความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
 บทลงโทษ 
 • เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ : จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 • เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ : จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 • ล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย : จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
 • ดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ : จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


 แก้ไข ดัดแปลง หรือทำให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย (มาตรา 9-10) ในข้อนี้จะรวมหมายถึงการทำให้ข้อมูลเสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลของผู้อื่นโดยมิชอบหรือจะเป็นในกรณีที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อย่างเช่น กรณีของกลุ่มคนที่ไม่ชอบใจกับการกระทำของอีกฝ่าย แล้วต่อต้านด้วยการเข้าไปขัดขวาง ทำร้ายระบบเว็บไซต์ของฝ่ายตรงข้าม ให้บุคคลอื่นๆ ใช้งานไม่ได้ ก็มีความผิด
บทลงโทษ  
 • ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าเป็นกรณีกระทำต่อระบบหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตร 12 หรือเข้าถึงระบบ ข้อมูลด้านความมั่นคงโดยมิชอบ จะต้องได้รับโทษจำคุก 3-15 ปี และปรับ 6 หมื่น – 3 แสนบาท และถ้าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่นต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับ 2 แสนบาท และถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ต้องจำคุก 5-20 ปีและปรับ 1-2 แสนบาท


 ส่งข้อมูลหรืออีเมลก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมลสแปม (มาตรา 11) ข้อนี้ก็เข้ากับประเด็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ หรือนักการตลาดที่ส่งอีเมลขายของที่ลูกค้าไม่ยินดีที่จะรับ หรือที่รู้จักกันว่า อีเมลสแปม หรือแม้แต่การฝากร้านตาม Facebook กับ IG ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและยังรวมถึงคนที่ขโมยDatabase ลูกค้าจากคนอื่น แล้วส่งอีเมลขายของตัวเอง
บทลงโทษ 
  • ถ้าส่งโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และถ้าส่งโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธตอบรับได้โดยงาน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • การทำการตลาดออนไลน์ที่ดี ควรนึกถึงจิตใจของผู้บริโภคเป็นสำคัญค่ะ หากอยากส่งอีเมล ก็ควรที่จะถามความยินยอมจากลูกค้าก่อนว่าเขาต้องการรับข่าวสารจากเราไหม หรือไม่ก็หันมาทำคอนเทนต์ดีๆ อย่างInbound Marketing ที่สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาคุณได้ด้วยความเต็มใจหรือหากอยากทราบเทคนิคการขายบนโลกออนไลน์ที่แตกต่างและได้ผล ลองดูบทความทิ้งเทคนิคการขายแบบเดิมๆ เริ่มต้นวิธีใหม่ๆ และทำกำไร 1 ล้านใน 24 ชั่วโมง 


 เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ (มาตรา 12) โพสต์เกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายหรือความมั่นคงต่อประเทศ หรือโพสต์ที่เป็นการก่อกวน หรือการก่อการร้ายขึ้น ก็มีความผิด เพราะมาตรา 12 ได้บอกไว้ว่าการเข้าถึงระบบหรือข้อมูลทางด้านความมั่งคงโดยมิชอบ หรือการโพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ที่เข่าข่ายข้อมูลเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือทำให้ประชาชนเกิดอาการตื่นตระหนก และล่วงรู้ถึงมาตรการการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย
 บทลงโทษ 
 • กรณีไม่เกิดความเสียหาย : จำคุก 1-7 ปี และปรับ 2 หมื่น – 1.4 แสนบาท
 • กรณีเกิดความเสียหาย : จำคุก 1-10 ปี และปรับ 2 หมื่น – 2 แสนบาท
 • กรณีเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย : จำคุก 5-20 ปี และปรับ 1 แสน – 4 แสนบาท


จำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด (มาตรา 13) 
  • กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 5-11 (หรือข้อ 1-3 ในบทความนี้) ต้องจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
  • กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรา 12 ต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย


 นำข้อมูลที่ผิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (มาตรา 14)  ในความผิดมาตรา 14 จะระบุโทษการนำข้อมูลที่เปิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ข้อความผิดด้วยกันคือ
 • โพสต์ข้อมูลปลอม ทุจริต หลอกลวง (อย่างเช่น ข่าวปลอม โฆษณาธุรกิจลูกโซ่ที่หลอกลวงเอาเงินลูกค้า และไม่มีการส่งมอบของให้จริงๆ เป็นต้น)
 • โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่งคงปลอดภัย
 • โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ก่อการร้าย
 • โพสต์ข้อมูลลามก ที่ประชาชนเข้าถึงได้
 • เผยแพร่ ส่งต่อข้อมูล ที่รู้แล้วว่าผิด (อย่างเช่น กด Share ข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็มีความผิด )
 บทลงโทษ 
 • หากเป็นการกระทำที่ส่งผลถึงประชาชน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นกรณีที่เป็นการกระทำที่ส่งผลต่อบุคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (แต่ในกรณีอย่างหลังนี้สามารถยอมความกันได้)


 ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทำความผิด (มาตรา 15)  กรณีนี้ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็เช่น เพจต่างๆ ที่เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็น แล้วมีความคิดเห็นที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายก็มีความผิด แต่ถ้าหากแอดมินเพจตรวจสอบแล้วพบเจอ และลบออก จะถือว่าเป็นผู้ที่พ้นความผิด
 บทลงโทษ 
 • แต่ถ้าไม่ยอมลบออกต้องได้รับโทษ ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามมาตร 14 ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกันผู้โพสต์หรือแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ แต่ถ้าผู้ดูแลระบบพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการแจ้งเตือนแล้วไม่ต้องรับโทษ
‎[ ผู้ให้บริการมีหน้าที่เก็บข้อมูลการใช้งานไม่น้อยกว่า 90 วัน ในกรณีที่จำเป็น ศาลอาจสั่งให้เก็บข้อมูลเพิ่มได้ไม่เกิน 2 ปี ]


 ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงภาพ (มาตรา 16) 
ความผิดข้อนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลักคือ
 • การโพสต์ภาพของผู้อื่นที่เกิดจากการสร้าง ตัดต่อ หรือดัดแปลง ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อย่างเช่นกรณีที่เอาภาพดาราไปตัดต่อ และตกแต่งเรื่องขึ้นมา จนทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย ก็ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
 • การโพสต์ภาพผู้เสียชีวิต หากเป็นการโพสต์ที่ทำให้บิดามารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย
 บทลงโทษ 
 • หากทำผิดตามนี้ ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท


สรุป 13 ข้อ สาระสำคัญจำง่ายๆ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 60 


  เพื่อการใช้ออนไลน์อย่างถูกกฎหมาย สำหรับสาระสำคัญที่หลายคนควรพึงระวังใน พ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับ 2 มีสาระสำคัญจำง่ายๆ ดังนี้


  1) การฝากร้านใน Facebook, IG ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท 


  2) ส่ง SMS โฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้ ไม่เช่นนั้นถือเป็นสแปม ปรับ200,000 บาท 

  3) ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท 

  4) กด Like ได้ไม่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเว้นการกดไลค์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน เสี่ยงเข้าข่ายความผิดมาตรา112 หรือมีความผิดร่วม 

  5) กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯโดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3 

  6) พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดงความคิดเห็น หากพบว่าการแสดงความเห็นผิดกฎหมาย เมื่อแจ้งไปที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อลบได้ทันที เจ้าของระบบเว็บไซต์จะไม่มีความผิด 

  7) สำหรับ แอดมินเพจ ที่เปิดให้มีการแสดงความเห็น เมื่อพบข้อความที่ผิด พ.ร.บ.คอมฯ เมื่อลบออกจากพื้นที่ที่ตนดูแลแล้ว จะถือเป็นผู้พ้นผิด 

  8) ไม่โพสต์สิ่งลามกอนาจาร ที่ทำให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้ 

  9) การโพสเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน ต้องปิดบังใบหน้า ยกเว้นเมื่อเป็นการเชิดชู ชื่นชม อย่างให้เกียรติ 

  10) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียเชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ญาติสามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย 

  11) การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น มีกฏหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลจริง หรือถูกตัดต่อ ผู้ถูกกล่าวหา เอาผิดผู้โพสต์ได้และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
 
  12) ไม่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใด ไม่ว่าข้อความ เพลง รูปภาพ หรือวิดีโอ 

  13) ส่งรูปภาพแชร์ของผู้อื่น เช่น สวัสดี อวยพร ไม่ผิด ถ้าไม่เอาภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หารายได้ 

  นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งยังมีอีกหลายประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้นจึงควรรู้กฎกติกาการใช้งานไว้ก่อน ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เราเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายได้


Infographic พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์












PDPA คืออะไร 

  พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นกฎหมายที่ถูกสร้างมาเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของทุกคน รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลและนำไปใช้โดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ และไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสียก่อน
พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) คือกฎหมายใหม่ที่ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาการถูกล่วงละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน เช่น การซื้อขายข้อมูลเบอร์โทรศัพท์และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่ยินยอม ที่มักพบได้มากในรูปแบบการโทรมาโฆษณา หรือล่อลวง
  โดยกฎหมายนี้ได้เริ่มบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565 เป็นกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ รูปถ่าย บัญชีธนาคาร อีเมล ไอดีไลน์ บัญชีผู้ใช้ของเว็บไซต์ ลายนิ้วมือ ประวัติสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถระบุถึงตัวเจ้าของข้อมูลนั้นได้ อาจเป็นได้ทั้งข้อมูลในรูปแบบเอกสาร กระดาษ หนังสือ หรือจัดเก็บในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้

 PDPA สำคัญอย่างไร ? 
ความสำคัญของ PDPA คือการทำให้เจ้าของข้อมูลมีสิทธิในข้อมูลส่วนตัวที่ถูกจัดเก็บไปแล้ว หรือกำลังจะถูกจัดเก็บมากขึ้น เพื่อสร้างความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวให้แก่เจ้าของข้อมูล โดยมีสิทธิที่สำคัญคือ สิทธิการรับทราบและยิมยอมการเก็บข้อมูลส่วนตัว และสิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว คัดค้านและเพิกถอนการเก็บและนำข้อมูลไปใช้ และสิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนตัว
สิทธิที่เพิ่มขึ้นของเจ้าของข้อมูล ทำให้ผู้ประกอบการขององค์กรและบริษัทต่าง ๆ ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเก็บรวบรวมและนำข้อมูลส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลไม่ว่าจะเป็นลูกค้า พนักงานในองค์กร หรือบุคคลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติของ PDPA พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โดยหากคุณเป็นผู้ประกอบการ หรือเป็นตัวแทนองค์กรที่ดำเนินการเรื่อง PDPA วันนี้เราจะช่วยคุณเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA กัน
หากคุณต้องการเก็บรวบรวมข้อมูล ประมวลผลข้อมูล นำข้อมูลไปใช้ รวมถึงการเก็บรักษาและดูแลความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคคลของลูกค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้อง คุณจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้โดยด่วน เพราะในขณะนี้ประเทศไทยได้เริ่มบังคับใช้ พ.ร.บ. PDPA แล้ว หากคุณไม่ดำเนินการตามหลักของ PDPA คุณอาจต้องรับโทษร้ายแรงทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครอง


 ใครต้องอยู่ภายใต้ PDPA บ้าง 
1. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject)
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Data Subject ก็คือคนที่ข้อมูลส่วนบุคคลชุดนั้นๆ จะชี้มาที่ตัวตนของบุคคลนั้นได้ ซึ่งก็คือตัวเรานั่นเอง ภายใต้ PDPA เจ้าของข้อมูลเป็นผู้ได้รับการปกป้องคุ้มครองและมีสิทธิต่าง ๆ เหนือข้อมูลส่วนบุคคลของตน 
2. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller)
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Data Controller คือคน บริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ  ที่เป็นคนตัดสินใจว่า จะมีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอะไร เพื่ออะไร อย่างไร ภายใต้ PDPA ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นผู้มีหน้าที่และความรับผิดหลักที่ต้องปฏิบัติตาม PDPA ให้ครบถ้วน พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่รับข้อมูลจัดส่งสินค้าของลูกค้าที่ CF ของมาเพื่อติดต่อส่งของก็เป็น Data Controller ได้ และบริษัททุกบริษัททันทีที่มีพนักงานคนแรก ที่ต้องใช้ข้อมูลเพื่อจ่ายเงินเดือนก็เป็น Data Controller แล้วทั้งสิ้น
3. ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor)
ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Data Processor คือ คน บริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ ที่ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยจะทำภายใต้คำสั่ง หรือในนามของ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) เท่านั้น ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจทำการประมวลผลข้อมูลด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น พี่ๆ messenger ที่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของคนที่เราต้องการส่ง ของให้เพื่อเอาของไปส่งแทนเรา กรณีนี้พี่ๆ ก็เป็น Data Processor หรือกรณีบริษัทใช้ ระบบ Cloud Service ซึ่งผู้ให้บริการจะเก็บข้อมูลแทนบริษัท ผู้ให้บริการ Cloud ก็เป็น Data Processor



กรณีศึกษาเกี่ยวกับความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

เมื่อเวลา 14.20 น. วันที่ 2 ธันวาคม ที่ สน.บางเขน น.ส.จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิก เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สมพร สมตะ สว.สอบสวน สน.บางเขน ให้ดำเนินคดีต่อ มูลนิธิชีววิถี หรือไบโอไทย ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา

 น.ส.จรรยา กล่าวว่า มูลนิธิชีววิถี หรือไบโอไทย ที่มี นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เป็นประธาน ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อสำนักหนึ่งว่า สมาคมวิทยาการวัชพืชฯ มีเอกชนเข้ามาร่วมเป็นบอร์ดบริหารซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะบอร์ดของมูลนิธิฯ ทุกคนเป็นข้าราชการทั้งหมด อีกทั้งไบโอไทย ยังได้นำข้อความที่สมาคมวัชพืชฯ โพสต์ว่า “ไม่มีรัฐบาลไหนในโลกใบนี้ที่จะแบนสารแถบสีน้ำเงิน แบบไกลโฟเซต แต่เสนอสารทดแทนแถบสีเหลืองแบบกลูโฟสิเนต” มากากบาท พร้อมระบุข้อความว่า “แถบสีน้ำเงินไกลโคเซตคือสารก่อมะเร็ง แถบสีเหลือง คือ พาราควอต มีสารพิษมากกว่าที่เคยแบนแล้ว 43 เท่า” ซึ่งสมาคมฯ ไม่ได้กล่าวถึงพาราควอต จนทำให้สมาคมได้รับความเสียหาย 

 

          น.ส.จรรยา กล่าวว่า ในฐานะนายกสมาคม มองว่าเรื่องข้อมูลทางวิชาการสามารถขัดแย้งกันได้อย่างมีเหตุผล ไม่ใช่มาทำลายหรือดิสเครดิตสมาคมอื่น ด้วยการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น เพื่อปกป้องมูลนิธิจึงต้องดำเนินคดีกับนายวิฑูรย์ และไบโอไทย ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามกฎหมายอาญา และ ความผิดตาม ม.16 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ยืนยันว่า 3 สารเคมีที่ถูกแบนอยู่นั้น ปัจจุบันยังไม่มีสารทดแทน ส่วน 16 สารเคมีอื่นที่ถูกระบุแนบท้ายว่านำมาใช้ทดแทน 3 สารนี้ ก็ถูกหยิบยกมาจากคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งเกษตรไทย อาจเข้าสู่ยุคหนีเสือปะจระเข้



วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ความรู้เรื่อง Blog(What is blog)


 What is blog?




Blog คืออะไร ?

Blog คือ เว็บไซต์ประเภทหนึ่งที่เอาไว้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่จะมาใส่ในเว็บไซต์ของเรานั่นเอง เป็นคำศัพท์ย่อมาจาก Web Log ถ้าพูดเร็วๆก็จะเป็น Web Blog แต่คนขี้เกียจเรียกเลยตัดให้มันสั้นๆ เป็น Blog นั่นเอง Blog คือ เว็บไซต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งการทำ Blog ก็คือการทำเว็บนั่นเอง แต่เน้น ให้ความสะดวกแก่ผู้อ่าน ในการอ่านบทความนั่นเอง

ข้อดี ข้อเสียของ blogฟรี

ข้อดีของบล็อกฟรีคือ ไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่ต้องติดตั้งอะไรให้ยุ่งยาก แค่สมัครสมาชิกคุณก็สามารถเริ่มเขียนบล็อกได้ทันที

ข้อเสียของบล็อกฟรีมีดังนี้

  1. ชื่อของบล็อกจะยาว ไม่สวย แบบนี้ครับ https://noobmarketer.wordpress.com
  2. มีข้อจำกัดเยอะ เช่น เปลี่ยนดีไซน์ไม่ได้ แก้ layout ไม่ได้ ลงปลั๊กอิน (ความสามารถเสริม) ไม่ได้
  3. คุณไม่ใช่เจ้าของบล็อกอย่างแท้จริง บล็อกคุณอาจถูกปิดเมื่อไรก็ได้
  4. อาจจะมีการแสดงโฆษณาบนบล็อกของคุณ

วิธีทำ blog?





ต่อมาใส่หัวข้อของ Blog ว่าบล็อคของเราจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ในช่องที่อยู่ก็ให้เราใส่ว่าจะใช้ URL เป็นอะไร หากเราพิมพ์แล้วปรากฏเครื่องหมายตกใจแสดงว่า URL นี้ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าขึ้นเครื่องหมายถูกแสดงว่า URL นี้ใช้ได้ครับ จากนั้นทำการเลือกธีม หรือ Template ที่เราชอบ และกดปุ่ม สร้างบล็อค


จากนั้นก็จะมีหน้าต่างขึ้นมาว่าสนใจจะซื้อโดเมนไหม? เรายังไม่ต้องซื้อนะครับเราจะใช้ของฟรีไปก่อน ให้กดที่ปุ่ม ไม่เป็นไร 

โดเมนสำหรับ blogger

การตั้งค่า Blogger เพื่อเขียนบทความทำอย่างไร?

เราก็จะมาเข้าสู่หลังบ้านของ Blogger เพื่อที่จะเขียนบทความได้แล้ว ก่อนอื่นเราต้องไปจัดการตั้งค่าต่างๆที่จำเป็นให้เรียบร้อยก่อน โดยไปคลิกที่เมนูการตั้งค่า หรือ setting(รูปเฟือง) ให้ไปที่ภาษา และการจัดรูปแบบ ให้เลือกเป็นภาษาไทย โซนเวลา ให้เลือกกรุงเทพ จากนั้นกดปุ่มบันทึกการตั้งค่า

การตั้งค่า Blogger เพื่อเขียนบทความ

การตั้งค่า Blogger เพื่อเขียนบทความทำอย่างไร?

เราก็จะมาเข้าสู่หลังบ้านของ Blogger เพื่อที่จะเขียนบทความได้แล้ว ก่อนอื่นเราต้องไปจัดการตั้งค่าต่างๆที่จำเป็นให้เรียบร้อยก่อน โดยไปคลิกที่เมนูการตั้งค่า หรือ setting(รูปเฟือง) ให้ไปที่ภาษา และการจัดรูปแบบ ให้เลือกเป็นภาษาไทย โซนเวลา ให้เลือกกรุงเทพ จากนั้นกดปุ่มบันทึกการตั้งค่า

การตั้งค่า Blogger เพื่อเขียนบทความ

เริ่มต้นเขียนบทความใน Blogger ได้อย่างไร?

เราสามารถเริ่มต้นเขียนบทความใน Blogger ได้โดยไปคลิกที่เมนูบทความ กดที่ปุ่มเขียนบทความใหม่ 

เริ่มต้นเขียนบทความใน Blogger ได้โดยไปคลิกที่เมนูบทความ กดที่ปุ่มเขียนบทความใหม่

จากนั้นใส่ชื่อโพสต์ หรือชื่อบทความในช่องโพสต์ ชื่อบทความนี้ ควรตั้งให้น่าสนใจ และต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เราจะเขียน จากนั้นก็เริ่มพิมพ์เนื้อหาได้เลยครับ เรายังสามารถใส่ภาพนิ่ง หรือวิดีโอได้อีกด้วย ภาพที่เราใส่ก็สามารถปรับให้มีขนาดเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ใหญ่พิเศษ หรือจะเป็นขนาดเท่าเดิม ก็ได้เหมือนกัน 

ตำแหน่งของภาพก็ปรับได้ว่าจะให้ภาพนั้นวางชิดซ้าย วางกึ่งกลาง หรือจะวางชิดขวา และยังสามารถเพิ่มคำอธิบายภาพที่ใต้ภาพได้อีกด้วย ลองปรับเล่นดูนะครับ เมื่อใส่ข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วเราสามารถกดปุ่มแสดงตัวอย่าง เพื่อดูสิ่งที่เราได้สร้างไว้ว่าเมื่อคนอื่นมาดูจะเห็นเป็นแบบไหน หากยังไม่ต้องการเผยแพร่ก็ให้กดบันทึกไว้ก่อน และกดปุ่มเผยแพร่เมื่อต้องการครับ

เริ่มต้นเขียน blog

หน้าตาของบทความที่เราได้สร้างไว้ในบล็อคจะเป็นแบบไหนให้ไปคลิกที่ เมนูดูบล็อค 

หน้าตาของบทความที่เราได้สร้างไว้ในบล็อคจะเป็นแบบไหนให้ไปคลิกที่ เมนูดูบล็อค

ก็จะปรากฏหน้าตาของบทความที่เราได้ทำไว้ เรายังสามารถแก้ไขบทความได้โดยการไปคลิกที่ดินสอ

หน้าตาของบทความที่เราได้ทำไว้ใน blogger


วิธีตกแต่ง Blog โดยใช้ ธีม และ Gadget ทำอย่างไร?




รู้จักเครื่องมือต่างๆ ในเมนูบาร์อย่างละเอียด

เครื่องมือการเขียนบทความต่างๆที่มีอยู่ใน Blogger ก็เป็นเครื่องมือพื้นฐานคล้ายๆกับการทำงานบน MS.Word และ Excel ไม่ว่าจะเป็นการปรับขนาดตัวหนังสือ การปรับตัวหนา ตัวเอียง ขีดเส้นใต้ การเปลี่ยนสีตัวหนังสือ การใส่พื้นหลังให้กับตัวหนังสือ การจัดหน้ากระดาษซ้าย ขวา กึ่งกลาง การใส่ภาพ ใส่วิดีโอ ใส่สัญลักษณ์ต่างๆ เป็นต้น เรามาดูกันครับว่าแต่ละเครื่องมือมีอะไรบ้าง

รู้จักเครื่องมือต่างๆ ใน blogger

หมายเลข 1 เป็นการปรับขนาดของตัวหนังสือ โดยมีให้เลือกปรับเป็นแบบ เล็กที่สุด เล็ก ปกติ ใหญ่ และใหญ่ที่สุด
หมายเลข 2 หัวข้อ สามารถกำหนดให้ส่วนใดเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย ส่วนย่อย หรือจะเป็นเนื้อหาปกติ ได้

การกำหนดหัวข้อใน blogger

หมายเลข 3 ตัวหนังสือหนา
หมายเลข 4 ตัวหนังสือเอียง
หมายเลข 5 ขีดเส้นใต้ตัวหนังสือ
หมายเลข 6 ขีดฆ่าตัวหนังสือ
หมายเลข 7 เปลี่ยนสีตัวหนังสือ
หมายเลข 8 ไฮไลท์ตัวหนังสือ
หมายเลข 9 ใส่ภาพ และสามารถปรับขนาดภาพ จัดตำแหน่งของภาพ และใส่คำอธิบายได้อีกด้วย
หมายเลข 10 ใส่วิดีโอ การใส่วิดีโอใน Blogger นั้น สามารถใช้วิธีการอัปโหลดวิดีโอเลย หรือว่าดึงมาจากยูทูปก็ได้ แนะนำว่าเราควรนำวิดีโอไปใส่ไว้ในยูทูปก่อนแล้วค่อยดึงมา เพราะเราจะได้คนดูจากสองทางเลยครับ หากนำวิดีโอเข้ามาแล้วต้องการลบก็แค่คลิกที่วิดีโอแล้วกดปุ่ม backspace

การ upload วิดีโอใน blogger

หมายเลข 11 การใส่สัญลักษณ์ ตรงรูปหน้ายิ้มจะเป็นการใส่สัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งมีหมวดหมู่ต่างๆให้เราเลือกใช้ 

symbol blogger

หมายเลข 12 จัดหน้ากระดาษ เช่น จัดให้ตัวหนังสืออยู่ตรงกลาง ซ้าย ขวา เป็นต้น
หมายเลข 13 List คือ การทำให้เป็นข้อๆ

การสร้าง list ใน blogger

หมายเลข 14 Bullet เป็นการใช้เครื่องหมายวางไว้หน้าข้อความ หรือหัวข้อเพื่อให้ดูเด่นขึ้น

การสร้าง bullet ใน blogger

หมายเลข 15 Quote คือ คำคม ถ้าต้องการให้เนื้อหาตรงไหนเป็นคำคม ก็ให้ทำไฮไลท์ตรงนั้น แล้วไปคลิกเลือกที่ Quote

การใช้งาน quote ใน blogger

หมายเลข 16 ป้ายกำกับ หรือ Tag เป็นการใส่คำสำคัญที่เกี่ยวกับบทความนั้นๆ

การใส่ป้ายกำกับหรือ tag ใน blogger

หมายเลข 17 กำหนดเวลา หมายถึง จะให้บทความนี้เผยแพร่ตอนนี้เลย หรือจะตั้งเวลาให้เผยแพร่เมื่อไหร่

กำหนดเวลาเผยแพร่บทความใน Blogger

หมายเลข 18 ลิงค์ของบทความ จะใช้แบบที่ทาง blogger ทำให้ หรือสร้างเองก็ได้เพื่อให้ดูสั้นลง ทำเสร็จแล้วอย่าลืมกดปุ่ม เสร็จสิ้น และกดบันทึก นะครับ

ลิงค์ของบทความใน blogger

หมายเลข 19 ตำแหน่งที่ตั้งของ blogger

การใส่ตำแหน่งที่ตั้งของ blogger


การเลือก และจัดการธีม ใน Blogger ทำอย่างไร?

ต่อมาเราจะมาจัดการแต่งให้บล็อคของเราสวยงามมากขึ้น ด้วยการเลือกธีม โดยให้ไปที่ เมนูธีม และเลือกธีมที่ต้องการ ชอบแบบไหนก็เลือกเลยครับ เลือกให้เหมาะกับ concept ของบล็อคเรา

การเลือกธีมใน blogger

การเลือกรูปแบบ

คลิกที่เมนูรูปแบบ ให้เพิ่ม Gadget ซึ่งเราสามารถเพิ่มได้หลายแบบ Gadget ก็เหมือน widget ใน wordpress

การเพิ่ม gadget ใน blogger

เราจะลองเพิ่ม gadget ตัวที่เป็นหน้าเวบดูก่อนนะครับว่ามันเป็นอย่างไร ให้กดที่เครื่องหมายบวกเพื่อเพิ่มได้เลย

การเพิ่ม gadget ใน blogger

เมื่อเพิ่มเข้ามาแล้วเราก็ตั้งชื่อ หรือจะไม่ใส่ก็ได้ เลือกว่าจะเพิ่มหน้าไหนบ้าง และเราสามารถจัดวางตำแหน่งได้ตามที่ต้องการ เพียงลากแล้วนำไปวางสลับตำแหน่งไปมา แล้วกดปุ่มบันทึก

การใช้ gadget ใน blogger

gadget ที่เราได้เลือกไว้จะออกมาเป็นแบบภาพด้านล่างนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นหน้าตาของ gadget ของเราจะออกมาเป็นแบบไหน ขึ้นอยู่กับธีมที่เราเลือกใช้ด้วยครับ Gadget บางอย่างที่เราเลือกอาจไม่ปรากฏบนหน้าบล็อค เพราะธีมนั้นๆอาจไม่รองรับก็เป็นได้ ดังนั้นผมแนะนำว่าให้เราลองเลือกธีม และดูหน้าตาของบล็อคเราว่าธีมไหนเหมาะกับบล็อคของเรา ลองใช้เวลากับตรงนี้ดูนะครับ เพราะธีมบางธีมก็มีลูกเล่นให้เราลองเล่นมากมาย ให้ลองเลือก และลองเล่นดูนะครับ และทุกครั้งที่เปลี่ยนแปลงอย่าลืมกดบันทึกด้วยนะครับ

การใช้ gadget ใน blogger

เราลองมาเปลี่ยนไปใช้เป็นธีมอื่นกันบ้างไหม ลองเลือกธีมที่มี sidebar แล้วจัดเรียงตามใจชอบ มันก็จะออกมาเป็นภาพด้านล่างนี้ อย่างที่บอกให้ลองเลือกใช้ธีมดูนะครับ แล้วลองดูผลที่ได้ว่าเหมาะสม หรือไม่อย่างไร 

ธีมที่มี sidebar ใน blogger

ธีมที่เราเลือกไว้ก็ยังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติม เพื่อเพื่อความสวยงามได้อีก โดยให้ไปคลิกที่ธีม แล้วคลิกที่ปุ่มปรับแต่ง 

การปรับแต่งธีมใน blogger

เราสามารถปรับแต่งพื้นหลัง หรือ Background ให้สวยงามตามใจเราได้ โดยไปคลิกที่พื้นหลัง จากนั้นคลิกที่ภาพพื้นหลัง แล้วมาเลือกภาพพื้นหลัง จากนั้นกดปุ่มเสร็จสิ้น

การใส่ background ใน blogger

และเรายังสามารถเลือกสี background ให้กับธีมได้อีกด้วย ลองเล่นดูนะครับ

การเปลี่ยนสีให้กับธีมใน blogger

และเรายังสามารถปรับความกว้างของหน้า blog เราได้ด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับธีมที่เลือกใช้ด้วย บางธีมอาจรองรับ หรือบางธีมอาจไม่รองรับ

ปรับความกว้างของหน้า blog ใน blogger

เรายังสามารถจัดรูปแบบของเนื้อหาใน blog เราได้ โดยการคลิกที่ รูปแบบ ก็จะปรากฏรูปแบบต่างๆขึ้นมาให้เราเลือกใช้งาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับธีมที่เราใช้ด้วยนะครับว่ามันรองรับไหม 

การเลือกรูปแบบของเนื้อความใน blogger

เรายังสามารถปรับแต่งขั้นสูงได้อีก เช่น การปรับแต่งสีในส่วนต่างๆของเวบ ไม่ว่าจะเป็นหน้าเวบ ต้องการให้สีของตัวอักษร สีของพื้นหลังเป็นสีอะไร การปรับแต่งในส่วนหัว การปรับแต่งแถบส่วนหัว การปรับแต่งสีลิงค์ต่างๆ เป็นต้น ลองไล่เล่นดูนะครับ และเมื่อปรับจนเป็นที่พอใจแล้วให้คลิกที่ปุ่ม ใช้กับบล็อค ด้านบนขวาด้วยนะครับ

การปรับแต่ง blog ขั้นสูงใน blogger

หลังจากที่คลิกปุ่ม ใช้กับบล็อค เรียบร้อย เราก็มาดูบล็อคที่เราสร้างไว้กันสักหน่อย โดยให้ไปคลิกที่ ดูบล็อค 

ดูบล็อคใน blogger

THANK YOU

กิจกรรมที่ 6

ขนมไทย ประวัติความเป็นมาของขนมไทย ขนมไทย เป็นของหวานที่ทำและรับประทานกันในอาณาจักรไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่...